เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ทำการพรรคชาติพัฒนากล้า ต.ราไวย์ อ.เมือง ภูเก็ต นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต พบปะหาเสียงให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต พรรคชาติพัฒนากล้า ทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง คือ นายเทมส์ ไกรทัศน์ และ น.ส.อรทัย เกิดทรัพย์ โดยมีสมาชิกพรรคฯ ผู้สนับสนุนและประชาชนชาวภูเก็ตในพื้นที่ ต.ฉลอง, ต.ราไวย์ และใกล้เคียง เข้าร่วมรับฟังนโยบายของพรรคในภาพรวม และจังหวัดภูเก็ต คึกคัก
อย่างไรก็ตามในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า จะลงพื้นที่พบปะหาเสียงให้ผู้สมัครของพรรค น.ส.อรทัย เกิดทรัพย์ ในพื้นที่ถลาง ด้วยการจัดกิจกรรม “จูรี in ภูเก็ต” ซึ่งจะมี “จูรี นุ่มแก้ว” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 2 พรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่างๆ อาทิ บ้านพรุสมภาร บ้านบางโรง หาดสุรินทร์ เป็นต้น โอกาสนี้ยังจะมีการจัดเวทีเสวนา “แหลงใต้ให้ฉาว เพื่อปากท้องชาวภูเก็ต” ที่ขุมน้ำบางมะรวน ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ภูเก็ต ชาติพัฒนากล้าส่งผู้สมัคร ส.ส. ลง 2 เขต คือ เขต 2 และเขต 3 ซึ่งได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครไปแล้ว คือ น.ส.อรทัย เกิดทรัพย์ และนายเทมส์ ไกรทัศน์ นับเป็นผู้สมัครที่มีศักยภาพและมีความสามารถสูง ที่ผ่านมาได้เดินหน้าทำงานกับพรรค ไม่ได้มีการเปิดตัวแล้วเปลี่ยนเหมือนกับหลายๆ พรรค อย่างคุณเทมส์ฯ ทำงานกับพรรคมาตลอดระยะเวลา 3 ปี แม้ว่า “คุณอ้อ” อรทัย จะมาร่วมงานทีหลัง แต่เดินหน้าด้วยความมั่นคงเต็มที่ จึงทำให้พรรคฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของว่าที่ผู้สมัครทั้ง 2 คน และเชื่อมั่นว่าจะสามารถเอาชนะได้
“พรรคมั่นใจว่าใน 2 เขตที่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง มีโอกาสจะชนะและได้ปักธงในภูเก็ต ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 เดือนเศษที่จะถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งว่าที่ผู้สมัครฯ มีภารกิจอีกมากที่จะต้องทำด้วยเป็นคนหน้าใหม่ทางการเมืองและเราก็เป็นพรรคใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่วันนี้ คนภูเก็ตรู้จักว่าที่ผู้สมัครและพรรคฯ มากขึ้น รวมทั้งยังได้ฝากความหวังไว้กับพรรคชาติพัฒนากล้าแล้ว”
นายกรณ์ กล่าวถึงนโยบายของพรรคฯ ที่จะมาดูแลคนภูเก็ตว่า คงหนีไม่พ้นเรื่องปากท้องที่เดือดร้อนมาจากโควิดระบาด นโยบายที่จะมาช่วยแก้ปัญหาการทำมาหากิน ปากท้องและหนีสิ้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ท่องเที่ยวฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตแน่นอน แต่ทำอย่างไรให้คนภูเก็ตได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวและรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาการจัดสรรงบประมาณหรือประโยชน์ต่างๆ ให้กับเกาะภูเก็ตไม่ได้สะท้อนถึงความสำคัญของภูเก็ตและความต้องการของคนภูเก็ตจริงๆ
โดยภูเก็ตมีประชากรตามทะเบียนราษฎร์จำนวน 4-5 แสนคน แต่มีคนจากต่างจังหวัดมาทำงานจำนวนมาก รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาปีละหลักสิบล้านคน แต่จัดสรรงบประมาณตามจำนวนประชากรที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มองว่าที่ผ่านมานักการเมืองภูเก็ตไม่ได้ต่อสู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงมุ่งเน้นนโยบายด้านเศรษฐกิจให้คนภูเก็ตได้พิจารณา และมองว่าถึงเวลาแล้วที่ภูเก็ตจะต้องบริหารงบประมาณในการพัฒนาภูเก็ตเองเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนภูเก็ตและทันต่อการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและเมืองภูเก็ตด้วย
ด้าน นายเทมส์ ไกรทัศน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า นายเทมส์ กล่าวว่า รายได้หลักของ จ.ภูเก็ต มาจากการท่องเที่ยว โจทย์ของเราคือ เราจะทำอย่างไรที่จะเพิ่มรายได้ได้อย่างเต็มที่ โดยที่ยังสามารถบำรุงรักษาเกาะของเราไว้เพื่อขายในวันต่อ ๆ ไปข้างหน้าได้ด้วย ขณะเดียวกัน โจทย์อีกอย่างที่รัฐบาลในยุคต่อ ๆ ไปต้องทำคือ การท่องเที่ยวต้องเฟื่องฟูมาก ๆ เราจะผลักดันให้ภูเก็ต World class destination หรือ เมืองท่องเที่ยวระดับโลก
ฉะนั้นวิถีชีวิตของคนภูเก็ต ก็ต้องเหมือนอยู่ในเมืองระดับโลกจริง ๆ ถนนหนทางต้องสะดวก รถต้องไม่ติด น้ำต้องมีในทุกฤดู ฉะนั้นพรรคชาติพัฒนากล้า เชื่อว่าการท่องเที่ยวยังต้องเป็นแหล่งการหารายได้ของภูเก็ตอย่างแน่นอน ประเทศไทยยังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะ เพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวได้อีกมาก สามารถเพิ่มวันท่องเที่ยวจาก 10 วัน เป็น 12 วัน เพิ่มการใช้จ่ายจากวันละ 5,000 บาท เป็น 7,000 บาท และสามารถเพิ่มเมืองท่องเที่ยวขึ้นทั่วประเทศ โดยใช้นโยบายเศรษฐกิจสายมู ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด
นอกจากนี้ในเรื่องของ LGBTQ ประเทศไทยโดยธรรมชาติของคนที่เปิดกว้างและยอมรับและเป็นมิตรไมตรี คนพวกนี้จึงชอบมาเมืองไทย รัฐบาลไทยต้องแสดงออกด้วยการออกกฎหมายสมรสเท่าเทียม รวมไปถึง การดูแลอำนวยความสะดวก เรื่องความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัดด้วย รายได้ต้องกระจาย แหล่งสาธารณูปโภคต้องพร้อมรองรับความเจริญที่จะเกิดขึ้นตามมา
ขณะที่ น.ส.อรทัย เก็บทรัพย์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในภูเก็ต คือ Life style travel หรือการท่องเที่ยวตามความชอบของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ถลาง ซึ่งเป็นเมืองที่ยังมีเกษตรกรรม มีวิถีวัฒนธรรมที่หลากหลาย หากผลักดันให้เกิดวิถีชุมชนยั่งยืนอยู่คู่กับนักท่องเที่ยว แทนที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาอยู่ในโรงแรมหรู นอนชายหาด ก็ควรมีโปรแกรมออกมาเที่ยวชุมชน ไปจับปู นั่งแลเล เพื่อให้รายได้กระจายสู่ชุมชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้อยากจะเน้นย้ำเรื่องสาธารณสุข ที่จะต้องดี มุ่งสู่เวิลด์คลาส คนภูเก็ตก็ต้องได้รับการดูแลในเรื่องสาธารณสุขอย่างดีเช่นเดียวกัน